4
0
0
เดิน 1 นาที จาก สถานี BTS ราชดำริ ทางออก 4 อ่านต่อ
เหมาะสำหรับ
จัดเลี้ยง ปาร์ตี้
โอกาสพิเศษ
เวลาเปิด-ปิด
จันทร์ - อาทิตย์
12:00 - 15:00
18:00 - 23:00
วิธีจ่ายเงิน
วีซ่า มาสเตอร์ อเมริกันเอ๊กเพรส เงินสด
ข้อมูลอื่นๆ
Wi-Fi
ที่จอดรถ
Service Charge
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ค่าเปิดขวด
สำรองโต๊ะ
ใบกำกับภาษี
เว็บไซต์ร้านอาหาร
http://www.stregisbangkok.com
ข้อมูลข้างต้นใช้เพื่ออ้างอิงเท่านั้น กรุณาตรวจสอบข้อมูลกับร้านอาหารอีกครั้ง
เมนูแนะนำ
Glazed duck breast with fig and foie gras crumble Wagyu beef tortelli with a classic Tuscan
รีวิว (4)
ระดับ4 2014-03-28
249 วิว
มาเก็บโปร. Aperol Evenings at JoJo บุฟเฟ่ต์ดื่มและทาปาส 18:00-20:00 ทุกวัน ราคา 583 บาทสุทธิเห็นโปร.นี้มาตั้งแต่โปร.พึ่งปล่อย น่าสนใจมาก เมื่อมีโอกาสไม่พลาดที่ต้องไปโดนโปร.จัดในส่วนของ The Aperol Lounge เป็นแบบ outdoor สวยงาม การบริการระดับ เซนต์ รีจิส หมดห่วงเครื่องดื่มเติมตลอดไม่มีขาด ทาปาสมี 5 อย่างทำได้อร่อยถูกปากเลย คุ้มสุดๆแบบนี้มาได้บ่อยอย่ายกเลิกโปร.ก็แล้วกันครับ.รายละเอียดเพิ่มเติม : http://www.reviewnowz.com/aperol-evenings-at-jojo/หมดเติมๆ ไม่หมดก็เติม!‘Carciofini Marinate’ หั่นชิ้นพอคำ เนื้อเนียนนุ่มมากแต่ไม่เละ หอมอ่อนๆ ปรุงรสอ่อนๆ ทำได้ประทับใจมาก แนะนำ‘Polpettine Veneziane di Carne’ ขนาดพอดีคำ เนื้อบดเนียน คลุกเครื่องพอรู้สึกอ่อนๆ ซอสมะเขือเทศกลมกล่อมไม่จัด มาตรฐานที่ดี‘Calamari Fritti’ ชิ้นเล็กไม่หนา มาร้อนๆเคลือบแป้งบางๆไม่กรอบแต่นุ่มนวลมากไม่เหนียวเลย แนะนำ‘Baccala Mantecato’ มูสปลาเนื้อเป็นเนื้อรสนวลเนียนมัน เสริมรสหวานด้วยหัวหอม เพิ่มเนื้อสัมผัสด้วยขนมปัง ลงตัวมาก แนะนำ‘Prosecco’ กลิ่นหอม ฟองโอเค รสออกdryๆหน่อย ดื่มง่าย ถือว่าดีเลยสำหรับ free flow ราคานี้‘Aperol Spritz’ แก้วใหญ่มาก หอมและรสขมของส้มชัดเจน ซ่านิดหน่อย แรงแบบนิ่มๆ‘Cucumber Miss’ หอมเด่นมากๆ นุ่มนวลซ่าหน่อยๆ สดชื่นๆ ชอบที่สุดในค็อกเทลสามตัวกลางคืนยิ่งชิวฟินสุดๆรายละเอียดเพิ่มเติม : http://www.reviewnowz.com/aperol-evenings-at-jojo/ อ่านต่อ
(รีวิวด้านบนคือ ความคิดเห็นของผู้ใช้ ซึ่งไม่ใช่ความคิดเห็นของ OpenRice)
วันนี้ได้รับเชิญจากทางโรงแรมให้มารีวิวห้องอาหาร JOJO จริงๆก็ได้ยินหลายคนพูดมาตลอดว่าอาหารของโรงแรมนี้อร่อยแทบทุกห้อง ห้อง JOJO ก้เป็นอีกห้องที่ขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารอิตาเลียนแบบต้นตำรับที่รสชาติและคุณภาพดีมาก ตอนนี้ทางห้องอาหารมีจัดเทศกาล เวนิส คาร์นิวัล หรือเทศกาลสวมหน้ากาก อันโด่งดังของประเทศอิตาลี ตั้งแต่ 8 - 28 กุมภาพันธ์ 2557บรรยากาศในนี้สวย หรูมากค่ะ การตกแต่งอลังการ เข้ามาแล้วรู้สึกตื่นเต้น สังเกตุได้ว่า ตามผนังมีหน้ากากประดับอยู่ด้วย ให้เข้ากับเทศกาล เวนิส คาร์นิวัลที่นี่มีเครื่องดื่มให้เลือกหลากหลาย ไวน์มาสารพัดตัวเลือกเลยค่ะ เหมาะสำหรับคนที่ชอบทั้งกินและดื่ม มาเริ่มกันที่จานแรก Baccala mantecato เมนูใหม่(White cod mousse, sweet & sour shallots, pine nuts, croutons)จานนี้ส่วนตัวมากๆ เป็นปลาคอดราดครีม เนื้อออกเนียนๆนุ่มๆ กลมกล่อม มีรสของหอมแดงเปรี้ยวหวานมาช่วยตัดความเลี่ยน กินคู่กับขนมปังอบเนยกรอบ มีถั่วไพน์นัทเพิ่มความมันและกรุบๆ อันนี้เป็นรสที่แปลกใหม่ไม่เคยกินมาก่อน แนะนำค่ะPanzanella a modo mio (580 บาท) (buffalo mozzarella cheese, organic cherry tomatoes, bread soaked in tomato jus, red onion, cucumber, basil)จานนี้ออกแนวผักสดๆ แต่เป็นแนวผักที่ไม่ถนัดเท่าไหร่ ส่วนตัวไม่ค่อยชอบกินแตงกวา รสชาติออกไปทางอ่อนๆ เน้นเบาๆสดชื่น ด้านบนมีชีสมอสซาเรลลา จานนี้ตกแต่งมาได้สวยงาม สีสันสดใสดีค่ะCoppa di testa (520 บาท)(Pork Italian terrine marinated in green sauce, horseradish yogurt, pickles beetroot, caramelized pears)จานนี้ออกแนวเน้นรสชาติวัตถุดิบของมันเอง เป็นรสเบาๆ เนื้อสัมผัสของตัว pork italian terrine จะกรึบๆ แปลกดีค่ะ แต่ส่วนตัวจานนี้เฉยๆ ไม่รู้สึกโดดเด่นค่ะInsalata di granchio (750 บาท)(Alaskan king crab, zucchini, mint, shellfish & squid ink light mayonnaise, croutons)จานนี้ชอบค่ะ เป็นปูอลาสก้า ใส่กับ zuccini และมินท์ ตัวซอสทำจากหมึกดำ รสจะเค็มอ่อนๆ ไม่โดด ช่วยเพิ่มรสชาติกำลังดี เป็นเมนู starter ที่ดีค่ะRisotto al nero di seppia(Aquerello” rice, pot braised fresh cuttlefish in black ink sauce)ริชอตโต้ ของที่นี่ก็เป็นเมนูที่ห้องอาหารภูมิใจนำเสนอ รสชาติจะออกแนวเบาๆไม่เลี่ยน จานนี้เป็นหมึกดำกินคู่กับปลาหมึกสดนำไปตุ๋น เล็กว่าริชอตโต้ของที่นี่ทำได้ดีค่ะ เม็ดข้าวกรึบๆมันๆ รสชาติซอสกลมกล่อม กินได้เรื่อยๆ ไม่หนักเกินไป เล็กว่าเป็นรสที่คนไทยน่าจะถูกปากค่ะRisotto Aquarello al basilico (650 บาท) (Italian basil risotto, braised squid heads, garlic, chili, parmesan cheese)ริชอตโต้อีกจานค่ะ จานนี้จะเป็นใบกระเพรา ใส่กระเทียม พริก ชีส กินคู่กับหัวปลาหมึกตุ๋น ปลาหมึกจะออกแนวปลาหมึกแห้ง เล็กว่ามันมีกลิ่นแรงกว่าปลาหมึกสด วัตถุดิบฟังดูน่าจะมีกลิ่นฉุนรสเข้ม แต่พอกินจริงๆรสและกลิ่นไม่หนักนะคะ ทำได้กำลังดี กินง่าย แต่เล็กชอบรสชาติจานเมื่อกี้มากกว่า แต่ชอบกลิ่นของจานนี้Pappardelle al ragout d’agnello (650 บาท)(Beetroot fresh pasta, organic lamb, artichoke, mint, pecorino cheese, olives)จานนี้เส้นพาสต้าเป็นแบบทำสดใส่บีทรูท แปลกดีค่ะ ไม่เคยกินมากก่อน ด้านบนเป็นเนื้อแกะ pecorino, cheese และ มะกอก ด้วยวัตถุดิบแบบนี้ จานนี้กลิ่นและรสจะค่อนข้างหนัก ส่วนตัวเป็นคนไม่กินเนื้อแกะค่ะ จานนี้ต้องขอผ่าน เพราะไม่ชินกับกลิ่น แต่ตัวเส้นอร่อยนะคะ นุ่มเหนียวมาถึงจาน main บ้างค่ะ Cappesante & branzino (1150 บาท)(Hokkaido giant scallops, wild sea bass, squash compote, quinoa, walnut oil)หอยเชลล์ตัวใหญ่มาก สดเนื้อแน่นๆเลย ส่วนปลากระพงทำได้ดีมากค่ะ เนื้อแบบนุ่มฉ่ำๆ ออกหวานรสปลา ไม่มีกลิ่นคาวเลย เล็กชอบตัวฟักทองบดมากค่ะ รสมันจะหวานๆเนียนๆ กินคู่กับ quinoa เป็นธัญพืชชนิดหนึ่งค่ะ ออกกรึบๆเหนียวๆ จานนี้ทั้งรสและความสดได้ใจไปเต็มๆPetto d’anatra (950 บาท)(Duck breast, chestnut ragout in red wine, glazed cherries, parsley bread, port wine sauce)ปกติไม่ค่อยทานเป็ดค่ะ แต่ที่ได้ชิมก็นับว่าทำได้ดีนะคะ หนังกรอบข้างในนุ่ม เนื้อออกเหนียวนุ่ม ชอบฐานที่เป็นเกาลัคผสมกับไวน์แดง รสจะออกหวานหอม เนื้อเนียนนุ่มมาก ชอบเนื้อสัมผัสแบบนี้มากค่ะ ส่วนเขียวๆนั่นคือ parsley bread คือเอา parsley ผสมกับ แป้งขนมปังแล้วทำให้เป็นผงๆแล้วนำไปอบ แปลกดีค่ะ เล็กว่าที่นี่มีการนำเสนอเมนูที่น่าสนใจมาก ตื่นเต้นดีค่ะถึงเวลาขนมหวาน Chestnut cake “ zia Marika “(Flourless homemade soft cake, chestnuts, vanilla bean, fresh cream)เค้กเกาลัคไร้แป้ง อันนี้ถูกใจเล็กมาก ส่วนตัวชอบกินเกาลัค เนื้อเค้กเกาลัคนุ่ม เบา รสชาติหวานอ่อนๆ หอมมากค่ะ ต้องกินคู่กับซอสวนิลา มันจะลงตัวมาก ไม่หนักเกินไปสำหรับหลังมื้ออาหาร จานนี้แนะนำค่ะสรุปภาพรวม อาหารที่นี่มีการนำเสนอที่สวยงาม น่าสนใจ วัตถุดิบคุณภาพดี รสชาติโดยรวมเล็กว่าดีกว่ามาตรฐานทั่วไป แต่รสจะออกแนวอิตาเลียนแท้แบบต้นตำรับ บางจานเน้นรสชาติวัตถุดิบตัวมันเอง เป็ฯรสที่กินง่ายนะคะ การบริการประทับใจมากค่ะ บรรยากาศหรูหรา เหมาะกับโอกาสพิเศษๆ พาคนรู้ใจมากินข้าวค่ะ อ่านต่อ
(รีวิวด้านบนคือ ความคิดเห็นของผู้ใช้ ซึ่งไม่ใช่ความคิดเห็นของ OpenRice)
ระดับ2 2012-02-10
92 วิว
วันนี้พอดีมาประชุมที่โรงแรม St. Regis โรงแรมหรูที่ตั้งอยู่บนภนนราชดำริ โดยตั้งอยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้าราชดำริเลยครับ พอประชุมเสร็จ เลยมีโอกาสได้มากินมื้อใหญ่สุดหรูที่ร้านอาหารอิตตาเลียนที่ชื่อ Jojo ที่ชั้น 1 ของโรงแรมการตกแต่งของร้าน เป็นแบบ Lounge ที่มีความรู้สึกของความเป็น contemporary european โดยมีกลิ่นอายของความเป็น asian ในรายละเอียดเล็กๆ และการจัดแสงที่ออกสลัวๆ ทำให้เหมาะกับการมานั่งจิบไวน์พูดคุยไปกับคนรู้ใจ แต่พอดีวันนี้มากับนายครับ เยอะมากไม่ได้ Jojo เป็นร้านที่อิมพอร์ตเชฟและผู้จัดการร้านมาจากอิตาลีโดยตรง ทำให้รสชาติของอาหารถูกถ่ายทอดออกมาโดยคงความเป็นอิตาลีตอนล่างไว้ได้อย่างมีศิลปะ อาหารอิตาลีตอนล่าง กลาง และเหนือ จะมีรสชาติไม่เหมือนกันครับ โดยทางตอนล่าง รสชาติจะค่อนข้างออกไปทางจืด เนื่องจากมีอากาศที่ค่อนข้างอุ่นกว่าตอนกลางและบน และส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่มีส่วนประกอบหลักเป็นอาหารทะเล และส่วนประกอบหลักถูกสั่งตรงมาจากอิตาลีโดยตรง เริ่มแรกครับ ด้วย Complementary กับขนมปังและซาลามี่ ส่วนเมนูที่สั่ง เนื่องจากนายสั่งครับ สั่งตาม recommendation ของผู้จัดการร้าน เลยไม่รู้ราคาและชื่อเมนู และตอนแสิร์ฟ จะมีผู้จัดการร้านออกมาแนะนำเมนู แต่เนื่องจากรายละเอียดเยอะมาก เลยจำอะไรไม่ได้เลย เอาเป็นว่าบรรยายจากความรู้อันน้อยนิดละกันนะครับ เมนูแรกครับ เป็นชีสอะไรซักอย่าง ผู้จัดการแนะนำว่าเป็นเมนูชีสอย่างดีที่ส่งตรงมาจากอิตาลี เป็นชีสแผ่นที่เอามาทำเป็นถุงครับ หน้าตาดูน่าสนใจมาก วิธีการทำเดาไม่ถูกจริงๆ แต่อร่อยมาก รสนุ่มลิ้น กลิ่นติดเหลืออยู่ในปาก ขาดแต่ไวน์แดง ซึ่งคิดว่าน่าจะขับรสชาติของเมนูนี้ออกมาได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว และท่าทางแพงมากด้วยกันเมนูที่สอง เป็นชุดสำหรับสี่คน ประกอบด้วยอาหาร cold dish แปดอย่าง เริ่มจากสลัดมะเขือเทศกับมอสซาเรล่าชีสกับผักร็อกเก็ต ออเดิร์ฟที่เรียกว่าเป็นพื้นฐานในอาหารอิตาลี ราดด้วยน้ำมันมะกอกกับพริกไทยดำ น้ำมันมะกอกที่ใช้เป็น Extra Virgin อย่างดีครับ ส่วนชีสก็ความนุ่มกำลังดี กลิ่นไม่หืน พร้อมกับมะเขือเทศที่ต้มอย่างได้ที่ ลอกเปลือกออกบางๆ ทำให้ไม่เละจนเกินไป เข้าปากแล้วแทบละลายไปเลยทีเดียว ต่อด้วยสลัดหมึกยักษ์ราดน้ำมันมะกอกกับพริกไทยดำ ที่ต้มด้วยความร้อนสูงในเวลาสั้นๆ ทำให้ปลาหมึกออกมานิ่ม เสิร์ฟพร้อมกับผักร็อกเก็ต อันเป็นเอกลักษณ์ของอาหารอิตาเลียนต่อมาคือซีฟู้ดสลัดครับ ประกอบด้วยกุ้งล็อบสเตอร์ ปลาหมึกกล้วย และ หอยแมลงภู่ มากับน้ำมันมะกอกและผักร็อคเก็ตกับพริกไทยดำอีกแล้วตามมาด้วยบลูชีส เฮเซลนัท และผลไม้อบแห้ง อันนี้ไม่รู้จริงๆครับว่าผลอะไร แต่บลูชีสอร่อยมากครับ ไม่เหม็นหืนต่อไป กุ้งชุบแห้งทอดครับ เป็นกุ้งทะเล สดมาก เนื้อเด้ง หนึบ แป้งไม่อุ้มน้ำมัน ทำออกมาได้ดีมากครับ ไม่เลี่ยนเลยอีกอันเป็นผัดผักไสตล์อิตาลีครับ ประกอบด้วยเห็ด พริกหวาน และแตงกวา เมนูนี้มักจะไม่ถูกปากคนไทยครับ เพราะเราชินกับการกินผัดผักใส่กระเทียม และเสิร์ฟมาร้อนๆ พอดีผมก็คนไทย เลยไม่ชอบ -_-"สุดท้ายสำหรับเมนูนี้ครับ ปาร์มาแฮม อันนี้อร่อยมากๆ ไม่เค็มเกินไป กลิ่นหมักไม่แรง ไม่เหม็น ปกติกินกับเบียร์หรือไวน์แดงแล้วแจ่มเลย พอดีวันนี้ำำไม่กล้าสั่งไวน์ แต่ถ้าสั่งก็คงทำให้หนักใจ ว่าจะเลือกแกล้มกับไวน์แดงหรือไวน์ขาวดี เพราะอาหารทะเลเยอะเหลือเกินต่อไปคือ Al tartufo ครับ พิซซ่าขึ้นชื่อของ Jojo ซึ่งประกอบด้วยเห็นทรัฟเฟิล มันอบ มอนทาซิโอ หรือผักดอง (รสชาติเหมือนกานาฉ่าย และมอสซาเรล่าชีส) ราคา 600 บาท เมนูนี้อร่อยมากครับ แนะนำ แป้งอบออกมาได้กรอบและนิ่มกำลังดี ใช้ความร้อนไม่สูงเกินไป ทำให้ออกมาไม่กรอบแตกเลอะเทอะ และไม่นิ่มเละ รสชาติของหน้าพิซซ่าก็เข้ากันได้ดีมากครับ เลือกเห็ดทรัฟเฟิลเสริมกับกลิ่นชีสได้อย่างมีเสน่ห์ เน้นที่รสเค็มเป็นหลักครับเมนูเซ็ตต่อไปเป็นพาสต้าครับ เริ่มจากสปาเก็ตตี้ครีมซอสที่มีลักษณะพิเศษอยู่ที่พริกเสปนที่ใส่ลงไป ทำให้เผ็ดจี๊ดที่ปลายลิ้น แต่ไม่เผ็ดร้อนแบบพริกไทย รสเผ็ดติดลิ้นไม่นานครับ ซึ่งทำให้ครีมซอสที่เสิร์ฟมากับพาสต้าไม่เลี่ยนจนเกินไป แน่นอน เส้นอย่างดีครับ ลวกเส้นออกมาแบบอันเดนเต้ หรือ ไม่ต้มออกมาจนสุก ตรงกลางยังแข็งกรอบอยู่นิดๆตามมาด้วยมะเขีอม่วงอบมะเขือเทศ เน้นที่รสเปรี้ยวตามธรรมชาติของมะเขือเทศครับ เมนูนี้ไม่ได้โดดเด่นอะไรต่อไปเป็นมักกะโรนีครีมชีสครับ เค็มปานกลาง เส้นใช้ได้ อันนี้ก็ธรรมดาสุดท้าย เป็นลาซานญ่าครับ อันนี้อร่อยมาก แต่ลืมตัวว่าตั้งใจจะเลิกทานเนื้อ (ลาซานญ่าพื้นฐานจะใช้เนื้อวัวสับเป็นส่วนประกอบ) ด้วยความที่เลิกทานเนื้อไปนานแล้ว แต่ก็เผลอเข้าปากไปหนึ่งคำ แป้งจับตัวกันกำลังดีครับ ไม่เละเป็นทราย แล้วก็ไม่ยุ่ยเป็นแป้ง มอสซาเรลล่าชีสอย่างดี ไม่เค็มเกินไป อร่อยมากครับ แนะนำเลยปิดท้ายด้วยของหวาน 4 อย่าง แต่ถ่ายทันแค่สามอย่างเท่านั้น ประกอบด้วยช็อคโกแลตชั้นดี สั่งตรงจากอิตาลี เสิร์ฟกับสตรอเบอรี่และวานิลาซอส ตอนมาเสิร์ฟพนักงานเข็นรถมาเลยครับ เป็นช็อคโกแลตทรงปริซึมขนาดใหญ่ แล้วไสลซ์ออกมาเสิร์ฟหนึ่งซีก ราดวานิลาซอสแล้วกินกับสตรอเบอรี่ ละลายไปเลยครับ อันต่อมาคือ Martini Tiramisu เป็นทิรามิสุที่เสิร์ฟมาในแก้วมาร์ตินี่ มี่กลิ่นหอมอ่อนๆของกาแฟ คลุ้งไปกับดรายมาร์ตินี่ โรยหน้าช็อคโกแลต texture อ่อนๆนุ่มลิ้น แต่ก็ไม่เละจนเลี่ยน หวานกำลังดี เมนูนี้รสชาติมีรสนิยมมากครับ แนะนำสุดๆรูปสุดท้ายคืออิตาเลียชีสเค้ก ที่เป็นคุกกี้แอนด์ครีม เสิร์ฟพร้อมสตรอเบอรี่สดฝานบางๆและซอร์เบทสตรอเบอรี่ อันนี้ก็ใช้ได้ครับ หวานอมเปรี้ยว แต่ไม่โดดเด่นอะไรเป็นพิเศษเมนูสุดท้ายแต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา เป็นรัมสปอนจ์เค้ก คือเป็นเค้กที่ชุ่มไปด้วยรัม เสิร์ฟกับซอร์เบทมะนาว กลิ่นรัมหนักมาก แต่กินกับซอร์เบทแล้วเหมือนโมฮีโตเลยครับซักนิดนะครับ ร่วมแคมเปญจน์นิดหน่อย กับรูปคู่ซี้ Manager team ของเรา สรุปโดยรวมนะครับ เป็นมื้อหรูหราตามไสตล์อาหารอิตาลีชั้นดี รสชาติและบรรยากาศมีระดับมาก ขาดไวน์ไป เพราะไม่กล้าสั่ง ราคาครับ มั่นใจ ว่าเฉียดสองหมื่นแน่นอน สำหรับมื้อนี้กับ 6 คน มื้อค่ำ ถ้าจ่ายเองคงน้ำตาตกเลยทีเดียว อ่านต่อ
(รีวิวด้านบนคือ ความคิดเห็นของผู้ใช้ ซึ่งไม่ใช่ความคิดเห็นของ OpenRice)
St. Regis โรงแรมสุดหรูย่านราชประสงค์ ซึ่งอยู่ติดกับโรงแรม Four seasons พอดีมีโอกาสได้มาดูห้องที่นี่เพื่อเก็บเป็นข้อมูลสำหรับงานใหญ่ที่คาดว่าจะมีในปีหน้านอกจากนี้ที่นี่ยังมีห้องอาหารสไตล์อิตาเลี่ยน ที่ชื่อ "Jojo" ก็เลยลองขอแวะลิ้มลองรสชาติที่เค้าว่าเป็นอาหารอิตาเลี่ยนแท้ๆ ไม่ได้ดัดแปลงใดๆ ทั้งสิ้นครับ อย่างที่บอกครับ ว่าอาหารที่นี่เป็นสไตล์อิตาเลี่ยน ฉะนั้นการตกแต่งห้องก็จะออกแนว อิตาเลียนทั้งนั้น การตกแต่งของที่นี่หรูหรา แต่ก็ไม่ได้ฉูดฉาดจนเกินไป ดูแล้วสบายตามากๆ พาชมบรรยากาศแล้ว ก็มาเริ่มที่อาหารกันครับ เริ่มกันที่เครื่องดื่มเย็นๆ ก่อนครับ Mojito Mocktail ที่มีรสชาติเปรี้ยวซ๋าชื่นใจดี ตามมาด้วย Strawberry smoothie รสชาติหอมหวานคล้ายๆ ไอศครีมโยเกิร์ต เหมือนกัน นอกจากนี้ยังมี Sparking Water รสชาติดี แก้เลี่ยนได้เปลี่ยนอย่างดีเลย Mojito Mocktail, Strawberry smoothie และ Sparking Water ส่วนอาหาร เริ่มที่ Starter เบาๆ ก่อนครับ เริ่มด้วยเมนู "Augus beef carpaccio Cipriani style (470.-)" เป็นเนื้อวัวสด กับผักสลัด Rocket ครับ เนื้อนุ่มมากๆ ไม่รู้สึกคาวด้วย ผมชอบเมนูนี้ที่สุด ต่อกันที่ "Caprese salad buffale muzzarella & tomato (350.-)" เป็นสลัดฝรั่ง เบาๆ ซึ่งประกอบไปด้วยชีส และมะเขือเทศ รสชาตินุ่มลื่นคอดีครับ ตามมาด้วย "Parma ham with bread" กินคู่กับขนมปัง อร่อยมากๆ ครับ เนื้อนุ่มๆ ลื่นคอมากๆ และก็ไม่คาวด้วยครับจากนั้นมาต่อด้วยจานหนักๆ กันเลยดีกว่าครับ เริ่มที่ "Cabonara tradizionale (480.-)" หน้าตาไม่ค่อยเหมือนคาโบนาร่า ทั่วๆ ไปที่เคยกินเท่าไรครับ เลยถามพนักงาน เค้าบอกว่า เป็นสูตรดั้งเดิม ของคนอิตาเลี่ยนเค้า ซึ่งไม่ได้ใส่ครีมเท่าไร ซึ่งจะใส่แต่ชีส แต่ก็อร่อยดีนะครับ ต่อด้วย "Phuket Lobster (1,450.-)" เมนูนี้เป็นกุ้ง Lobster ชิ้นใหญ๋ๆ อร่อยมากๆ ส่วนเมนูนี้ของโปรดผมครับ "Classic lasagna (410.-)" ลาซานญ่าชีสนุ่มๆ ร้อนๆ อร่อยถูกปากเหมือนกัน Cabonara tradizionale, Phuket Lobster และ Classic lasagna ส่วนเมนูนี้พิเศษ หน่อย "Originale fettuccine alfredo (450.-)" เพราะว่า เชพจะมาคลุกเคล้าด้วยชีสแบบพิเศษที่นำเข้ามาจากอิตาลี โดยจะคลุกเคล้าตอนร้อนๆ ให้ชีสเข้ากับเส้น ของคาวเมนูสุดท้ายครับ "Pizza Schiacciata (380.-)" เป็นพิซซ่าสไตล์อิตาเลี่ยน แท้ๆ เลยครับ ส่วนของหวานทางพนักงานแนะนำว่าที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องชีส เป็นชีสแบบพิเศษ ที่หาทานได้ยาก ส่วนผมก็อยากลองดูว่าต่างจากที่อื่นอย่างไร ซึ่งอย่างที่บอกไว้แล้ว ชีสของที่นี่จะนำเข้าจากอิตาลีทั้งหมด เรื่องรสชาติ ก็จะสไตล์อิตาลีแท้ๆ เมนูนี้คือ "D.O.P. Italian cheese experience (750.-)" เป็นชีส 5 ชนิด ซึ่งระหว่างเสริฟ พนักงานก็บรรยาสรรพคุณชีสแต่ละชนิด ก็จะมีชื่อบอกไว้ที่จาน แต่ละอย่างมีความพิเศษต่างกัน ที่จำได้ก็จะมีชีสที่มาจากนมวัวที่พาไปเลี้ยงบนยอดเขาที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลปกติที่เค้าเลี้ยงกัน เพื่อที่จะให้ได้ความเข้มข้นเป็นพิเศษ อีกอย่างก็จะเป็นชีสที่ได้มาจากการเลี้ยงในถ้ำ ระหว่างกินไป ก็นั่งนึกว่า เค้าคิดได้ยังไงที่ทำชีสแต่ละแบบได้ ส่วนที่ผ่านมาก็กินอย่างเดียวไม่สนใจอะไร ได้มารู้ที่นี่ก็อึ้งๆ เล็กน้อย ชีสที่นี่ถ้าได้ทานกับซอสต่างๆ จะช่วยดับกลิ่นชีส และเพิ่มรสชาติได้เป็นอย่างดี ส่วนผมลองแค่ 3 อย่างครับ ซึ่งรสชาติก็ต่างจากชีสที่เคยทานอยู่ทั่วไปจริง Originale fettuccine alfredo, Pizza Schiacciata และ D.O.P. Italian cheese experience ส่วนของหวานอย่างอื่นเป็น "Gianduiotto Chocolates (650.-)" เป็นช็อกโกแล๊ต แบบพิเศษที่นำเข้าจากอิตาลี หอมหวาน แล้วก็ไม่ขมด้วย ใครที่โปรดปราณช็อกโกแล๊ตเป็นพิเศษไม่ควรพลาดครับ จากนั้นต่อที่ "Torta della nonna lemon cake (320.-)" เมนูนี้ก็เยี่ยมไม่แพ้กันครับ ปิดท้ายของหวานด้วย "Panna cotta (300.-)" อัดแน่นด้วย กีวี และเบอรี่ ต่างๆ จากนั้นก็จิบกาแฟ "ลาเต้ร้อนๆ" รสเข้มข้น ช่วยเพิ่มความสดชื่นหลังมื้ออาหารหนักได้เป็นอย่างดี Gianduiotto Chocolates, Torta della nonna lemon cake, Panna cotta แลเ ลาเต้ร้อนมื้อนี้ได้เต็มอิ่มกับอาหารอิตาเลี่ยนแท้ๆ หลากหลายแบบ ซึ่งรสชาติอาหารทำได้ดี ให้ความรู้สึกถึงความเป็นอิตาเลี่ยนแท้ๆ ซึ่งหาทานได้ยาก อ่านต่อ
(รีวิวด้านบนคือ ความคิดเห็นของผู้ใช้ ซึ่งไม่ใช่ความคิดเห็นของ OpenRice)